อะโวคาโดเป็นผลไม้ที่มีต้นกำเนิดจากประเทศในแถบอเมริกากลางและอเมริกาใต้ มีลักษณะเด่นคือเปลือกสีเขียวเข้มถึงน้ำตาลดำ เนื้อในสีเขียวอ่อนนุ่ม และเมล็ดขนาดใหญ่ตรงกลาง รสชาติของอะโวคาโดมีความมันและเป็นกลาง ทำให้สามารถใช้ทำอาหารได้หลากหลายทั้งของหวานและของคาว
1. ช่วยบำรุงสุขภาพหัวใจ
อะโวคาโดเป็นแหล่งของกรดไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยว (Monounsaturated Fat) ซึ่งช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลชนิดเลว (LDL) และเพิ่มคอเลสเตอรอลชนิดดี (HDL) ทำให้หลอดเลือดแข็งแรงและลดความเสี่ยงโรคหัวใจ
2. ช่วยลดความดันโลหิต
อะโวคาโดมีโพแทสเซียมสูง ซึ่งช่วยควบคุมความดันโลหิต ลดความเสี่ยงโรคหลอดเลือดสมองและโรคหัวใจ
3. เสริมสร้างสมองและระบบประสาท
ไขมันดีในอะโวคาโดช่วยบำรุงสมอง เพิ่มสมาธิและความจำ อีกทั้งยังช่วยลดความเสี่ยงของโรคอัลไซเมอร์
4. อุดมด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ
วิตามิน E และ C ในอะโวคาโดช่วยปกป้องเซลล์ในร่างกายจากการถูกทำลายโดยอนุมูลอิสระ ซึ่งช่วยชะลอวัยและลดความเสี่ยงของโรคมะเร็ง
5. ส่งเสริมการย่อยอาหาร
เส้นใยอาหารในอะโวคาโดช่วยกระตุ้นการทำงานของลำไส้ ป้องกันอาการท้องผูก และปรับสมดุลจุลินทรีย์ในลำไส้
6. ช่วยควบคุมน้ำหนัก
แม้อะโวคาโดจะมีแคลอรีสูง แต่ก็ทำให้อิ่มนาน ลดความอยากอาหาร จึงเหมาะสำหรับการควบคุมน้ำหนักเมื่อบริโภคในปริมาณที่เหมาะสม
7. ดีต่อผิวพรรณและเส้นผม
วิตามิน E และไขมันดีในอะโวคาโดช่วยให้ผิวเนียนนุ่ม ชุ่มชื้น และลดการเกิดริ้วรอย นอกจากนี้ยังบำรุงให้เส้นผมแข็งแรงและเงางาม
8. ลดความเสี่ยงของโรคมะเร็งบางชนิด
อะโวคาโดมีสารไฟโตเคมิคอล (Phytochemicals) เช่น ลูทีน และซีแซนทีน ที่ช่วยต้านการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็ง
9. เหมาะสำหรับผู้ป่วยเบาหวาน
ด้วยดัชนีน้ำตาลต่ำและเส้นใยอาหารสูง อะโวคาโดช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดและลดความเสี่ยงของโรคเบาหวาน
1. รับประทานในปริมาณที่เหมาะสม
อะโวคาโดมีแคลอรีสูง ควรบริโภคในปริมาณที่เหมาะสม โดยแนะนำให้รับประทานครึ่งถึงหนึ่งลูกต่อวัน
2. อาการแพ้ในบางราย
บางคนอาจแพ้อะโวคาโด ซึ่งอาจเกิดอาการคันในช่องปากหรือมีผื่นขึ้น
3. ข้อควรระวังในผู้ที่รับประทานยาบางชนิด
อะโวคาโดอาจลดประสิทธิภาพของยาต้านการแข็งตัวของเลือด เช่น วาร์ฟาริน (Warfarin) หากคุณมียาโรคประจำตัวควรปรึกษาแพทย์ก่อน
4. ควรหลีกเลี่ยงอะโวคาโดที่สุกเกินไป
อะโวคาโดที่สุกเกินอาจมีกลิ่นไม่พึงประสงค์และรสชาติที่ไม่ดี
เว็บไซต์: www.ChillDee.com
อีเมล์: admin@ChillDee.com